ในปัจจุบัน วัสดุหรือผลิตภัณฑ์ที่อำนวยความสะดวกให้แก่มวลมนุษย์ ทั้งในเรื่องรูปแบบของผลิตภัณฑ์ การตอบสนองด้านการใช้งาน ความคงทนถาวร ตลอดจนราคาที่เหมาะสม เกือบทั้งหมดเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ได้มาจากกระบวนการทางปิโตรเคมี (Petrochemical) ทั้งนี้อุตสาหกรรมพลาสติกของไทยนั้น จัดว่าเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานในการสนับสนุนอุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง ยานยนต์ และอากาศยาน ฯลฯ ล้วนแต่ต้องใช้พลาสติกเป็นองค์ประกอบไม่มากก็น้อย อีกทั้งทิศทางการใช้งานในอนาคตมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากคุณสมบัติที่ตอบสนองความต้องการการใช้งาน ทั้งนี้ในปี 2557 อุตสาหกรรมการแปรรูปพลาสติกมีมูลค่า ประมาณ 522,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 4 เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) แต่ถ้าหากคิดรวมถึงมูลค่าของเม็ดพลาสติกจะทำให้มูลค่าของอุตสาหกรรมพลาสติกสูงถึง 830,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 6.8 เทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ อีกทั้งยังมีมูลค่าการส่งออกของผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน ในปี 2557 มีมูลค่าการส่งออก 122,514 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีแม้ว่าพลาสติกจะมีจุดเด่นและให้ความพึงพอใจแก่มนุษย์ได้เท่าไรก็ตาม แต่ปัญหาด้านการไม่ย่อยสลายและตกค้างอยู่ในธรรมชาติ อันส่งผลกระทบด้านมลภาวะทางน้ำ อากาศ และดิน หรือหากการกำจัดด้วยการเผาไหม้อันจะก่อให้เกิดปรากฏการณ์ภาวะเรือนกระจก (Greenhouse effect) ซึ่งส่งผลให้โลกร้อนขึ้น (Global warming) ล้วนแต่เป็นประเด็นปัญหาที่สำคัญและเป็นที่ยอมรับในปัจจุบันแล้วว่าต้องหาวิธีการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยจากการสำรวจพบว่าประเทศไทยมีปริมาณขยะพลาสติกและโฟมมากถึง 2.7 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 7,000 ตันต่อวัน หากใช้เวลาย่อยสลายจะยาวนานถึง 450 ปี
พลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการทดแทนการใช้พลาสติกโดยทั่วไปที่ผลิตจากปิโตรเลียมโดยตรง เนื่องจากมีคุณสมบัติที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ จึงเป็นการช่วยลดปัญหามลพิษที่เกิดจากขยะพลาสติกได้ อีกทั้งพลาสติกชีวภาพนั้นนับเป็นอุตสาหกรรมคลื่นลูกใหม่ (New Wave Industries) ที่มีอนาคต และเป็นอุตสาหกรรมที่มีความยั่งยืน อีกทั้งนานาประเทศทั่วโลกให้ความสำคัญกับปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งสำหรับประเทศไทยนั้น ลักษณะของอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพมีความสอดคล้องกับปัจจัยเกื้อหนุนที่เป็นข้อได้เปรียบในการพัฒนาอย่างมาก นั่นคือการใช้ประโยชน์จากผลผลิตทางการเกษตร อาทิ อ้อย มันสำปะหลัง ข้าวโพด รวมถึงข้าว ผลิตผลหลักของชาติ มาต่อยอดในรูปแบบวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นเม็ดพลาสติกชีวภาพ ซึ่งไทยมีความอุดมสมบูรณ์ในพืชผลทางการเกษตรอย่างชัดเจน โดยเฉพาะมันสำปะหลังไทยส่งออกประมาณ 17 ล้านตัน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 70 ของผลผลิตที่ได้ เป็นอันดับ 1 ของโลก นอกจากมันสำปะหลังแล้วประเทศไทยยังส่งออกน้ำตาลเป็นอันดับ 2 ของโลก (อันดับ 1 ในเอเชีย) โดยส่งออกประมาณ 7 ล้านตัน หากนำวัตถุดิบที่ส่งออกดังกล่าวมาแปรรูป เป็นพลาสติกชีวภาพประมาณร้อยละ 10 ของปริมาณการส่งออก จะเป็นการเพิ่มมูลค่าวัตถุดิบจาก 15,000 ล้านบาท เป็น 250,000 ล้านบาท (หรือประมาณ ร้อยละ 2-3 ของ GDP) ซึ่งวัตถุดิบทางการเกษตรที่มีอยู่นั้น เป็นปัจจัยสำคัญและข้อได้เปรียบของไทยที่จะก้าวเป็น “ศูนย์กลางอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในภูมิภาคอาเซียน” ได้
กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม โดยสำนักพัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุน จึงได้ตระหนักถึงความสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพ จึงได้จัดทำโครงการ “ส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอชีวภาพ” โดยจะเน้นการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตพลาสติกชีวภาพให้แก่ผู้ประกอบการ และมาตรฐานผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ ตลอดจนการประยุกต์งานวิจัยและพัฒนาพลาสติกชีวภาพสู่เชิงพาณิชย์ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมพลาสติกชีวภาพในประเทศไทยให้เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป